เที่ยวอุทัยตามวิถีสโลว์ไลฟ์


....เมื่อฤดูฝนผ่านเข้ามา ความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่โปรยปรายลงมา ทำให้นึกอยากหลบไปเอนกายใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์บ้าง แต่มีเวลาพักไม่มากเสียด้วยสิ!! จะไปที่ไหนดีน๊าา!!  (ระหว่างที่บ่นกับตัวเอง) ภาพเมืองอุทัยก็วิ่งเข้ามาในความคิด ไปนอนริมน้ำสักคืนดีกว่า!! ...

อุทัย...อุทัย!!! ที่เที่ยวที่พอจะนึกออก ก็มีแค่ตรอกโรงยา ที่ต้องไปแน่ๆ วัดท่าซุง ห้วยขาแข้ง ไกลไป 2 วันไม่น่าพอ (แปะไว้ก่อน) ดังนั้น!!การเริ่มค้นหาข้อมูลจึงเริ่มขึ้น...

 โห!! เห็นเป็นจังหวัดเล็กๆอย่างงี้ ที่เที่ยวมากมายก่ายกองเลยน่ะคุณๆ แต่มีอยู่ที่นึงที่เราสนใจมากๆ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ ตามมาเที่ยวด้วยกันน่ะ!!

 
 
มาตีซี้กับจังหวัดอุทัยกันก่อนดีกว่าเนอะ อย่างที่บอก!! ด้วยความที่เป็นจังหวัดเล็กๆแบบนี้นี่หล่ะ ถือว่าเป็นมนต์เสน่ห์อย่างนึงที่ทำให้ใครหลายคนตกหลุมรัก (ยกมือหนึ่งเสียง) แล้วยังไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ประมาณ 200 กว่ากิโล ทำให้คนที่มีเวลาอันน้อยนิด ก็ไปเที่ยวได้สบายๆ
 
เอาหล่ะ!! ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว ....... ลุยเลย!!
 
ด้วยความตั้งใจที่จะเที่ยวแบบสบายๆ สโลว์ๆ  เราจึงเลือกเที่ยวในอำเภอลานสัก เพราะห่างจากตัวเมืองเพียง 50 กิโล ที่หมายที่เราจะไป คือ "หุบป่าตาด" ป่าดึกดำบรรพ์ เราจะไปตามจับไดโนเสาร์กัน 555++  อันนี้มโนเอง อิอิ!!
 
 
"หุบป่าตาด" อยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน พบเจอโดยพระครูสันติธรรมโกศล แล้วที่เรียกว่าป่าตาด นั่นก็เพราะว่า บริเวณพื้นที่ป่าส่วนใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่า "ต้นต๋าว" หรือ "ต้นตาด" เป็นตระกลูเดียวกันกับปาล์ม จึงเป็นที่มาของชื่อ
 
 
เมื่อมาถึงแล้ว เสียค่าธรรมเนียมกันก่อน คนละ 20บาท ระยะทางเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ประมาณ 700 เมตร เดินเรื่อยๆไม่ต้องรีบ แต่ออกมาก่อนสี่โมงเย้นน่ะ ที่นี่ปิดเวลา 16.00 น. อากาศที่นี่ไม่ร้อน ค่อนข้างเย็นนิดหน่อย ย้ำ!! นิดหน่อยน่ะ
 
ถ้าไม่อยากเดินคนเดียวเหงาๆเพียงลำพัง มีมะเขือเทศน้อย (มัคคุเทศน์น้อย) เรียกตามคุณครู พาเดินพร้อมแนะนำสถานที่ รับรองสนุกสนานเฮฮา คอนเฟริม!! ... น้องๆมัคคุเทศน์ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเด็กนักเรียนแถวๆนั้น เสาร์-อาทิตย์ หรือปิดเทอม ก็จะมาช่วยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่นี่ 
 
 
 
ระหว่างทางเดิน เราอาจได้เจอกับรอยเท้าเลียงผาก็ได้น่ะ ไฮไลท์ของที่นี่อีกอย่างนึงก็คือ "กิ้งกือสีชมพู" เสียดายมากที่ไปแล้วไม่เจอ แย่จัง!! น้องมะเขือเทศบอกว่า มันกำลังจำศีลอยู่ แต่!! ถึงแม้จะไม่ได้เห็นกิ้งกือ ก็ไม่เป็นไร เพราะเราได้เห็น "เห็ดสีชมพู" ชมพูเหมือนกัน หยวนๆ 555++
 
 
ไม่รู้ว่าถ้าใครได้เห็น เห็ดสีชมพู จะตื่นเต้นเหมือนเรามั้ย แต่เราตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยเห็น
 
 
หลังจากสนุกสนานกับที่นี่มาพักใหญ่แล้ว ก็สมควรแก่เวลา เราควรที่จะเดินออกจากประตูกาลเวลาได้แล้ว เข้าไปป่าดึกดำบรรพ์แต่ไม่ยักจะเจอไดโนเสาร์โน๊ะ!! ถ้าเจอจริงๆ ไม่อยากนึก !! มโนไปใหญ่แล้ววววว บ้าจริง!!!
 
มาเถอะ!! ไปใช้วิถีสโลว์ไลฟ์กันได้ล่ะ เดี๋ยวจะเตลิดไปใหญ่ (ดึงตัวเองกลับมา 555++)
 
 เรามาถึงตัวเมืองก็บ่ายแก่ๆแล้ว เข้าที่พักกันก่อนดีกว่า เราพักที่ "บ้านอิงน้ำ" เลือกพักเรือนแพริมน้ำ มีเรือนแพสองหลัง แพ50ปีจะเป็นห้องพัดลม แพ100ปีจะเป็นห้องแอร์ แต่ถ้าใครไม่อยากนอนแพ ด้านบนก็มีห้องพักติดสระว่ายน้ำ 
 
แต่ไหนๆมาถึงริมน้ำแล้ว เราต้องพักแพริมน้ำสิเนอะ จะได้ซึมซับกับบรรยากาศรอบๆตัว ให้คุ้มกับการเลือกมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ๆ นั่งจุ่มเท้าในน้ำเคล้าคลอด้วยเสียงนกร้อง..จิ๊บๆๆ นอนฟังเสียงปลาบ่น..บุ๋มๆๆ (รำคาญเราแน่โผล่จากน้ำขึ้นมาบ่น) โอ๊ย!!ถ้าอยู่เป็นเดือน คงฟังเสียงนกกับปลาคุยกันออก 555++
 
 
 
บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท อยู่ฝั่งเกาะเทโพ ฝั่งเดียวกับวัดโบสถ์ รอบๆเกาะเทโพเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ทางรีสอร์ทมีจักรยานให้เรายืมปั่นแบบชิลๆสบายๆ แล้วจะรออะไรกันอีก คว้าจักรยานของรีสอร์ทไปปั่นกัน
 
ระยะทางปั่นก็สั้นๆเพียง 200 เมตร ก็ปั่นถึงจุดแลนด์มาร์คของอุทัยแล้ว... "วัดโบสถ์"
 
 
วัดอุโบสถาราม หรือ วัดโบสถ์ ตามที่ชาวเมืองอุทัยเรียกกัน เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมน้ำสะแกกรัง เชื่อได้เลยเมื่อใครมาถึงที่นี่แล้ว ต้องมีรูปวัดสีขาวที่ตั้งอยู่ริมลำน้ำสะแกกรัง ติดกล้องกลับบ้านกันทุกคน ภายในอุโบสถวัดยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังให้ได้ยลถึงความสวยงามด้วย
 
หลังจากเราชื่นชมความสวยงามอย่างไทยมาพอสมควร ก็ได้เวลาที่ผู้หญิงชอบที่สุด นั่นคือการช้อป อิอิ!! เราจะไปเดินถนนคนเดินตรอกโรงยากัน เราจอดจักรยานไว้ฝั่งวัดโบสถ์ แล้วเดินข้ามสะพานปูนที่เชื่อมระหว่างเกาะเทโพกับฝั่งเทศบาล ไปถนนคนเดินไม่ถูก ถามทางได้ ชาวอุทัยใจดี
 
 
ถนนคนเดินตรอกโรงยา จะมีเฉพาะวันเสาร์ วันเดียวเท่านั้น ของขายเยอะอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นของกิน น้ำหนักขึ้นอย่ามาโทษกันน่ะ!!!
 
ขออนุญาตเดินหาของกินก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปต่อกันที่ตลาดเช้า .... ฟิ้วววว!!
 
 
ตื่นเช้ามา ก็เจออาหารเช้ามาตั้งอยู่หน้าห้องพักเลย นี่เป็นบริการของทางรีสอร์ท เมื่อมาถึงตอนเช็คอิน พนักงานจะให้เราเลือกชุดอาหารเช้า แล้วลงเวลาว่าจะให้ส่งตอนกี่โมง พนักงานก็จะนำมาส่งให้ถึงหน้าห้องแบบนี้ .... เจ๋งสุดๆ บริการดีอ่ะ
 
กินอิ่มแล้วก็ต้องเดินย่อยสักนิด เหมือนเดิม!! คว้าจักรยานของรีสอร์ท แต่ไม่ใช่คันเดิมเปลี่ยนคันมั่ง ปั่นมาจอดที่วัดโบสถ์เหมือนเดิม ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะมีพืชผักที่ชาวบ้านเก็บมาขาย  ปลาจากแม่น้ำสะแกกรังนี่หล่ะ...อ้อ!! ปลาแรดของขึ้นชื่อที่นี่เขาเล้ยยยย!!
 
 
ตลาดที่นี่จะมีตั้งแต่เช้า พอสายหน่อยก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว ช่วงเราไปประมาณแปดโมงกว่าๆ ก็เหลือเปิดขายอยู่ไม่กี่ร้าน ไม่เป็นไร!! เราก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ
 
 
แวะตรงนู้นตรงนี้ แป็บๆ ก็เกือบสิบโมงแล้ว เวลาช่างไวกว่าความรู้สึกของเราเสียอีก ยังพอมีเวลาเหลือก่อนเช็คเอ๊าท์ กลับไปนั่งเล่นริมน้ำบนแพพักอีกสักนิดก่อนดีกว่า
 
 รู้สึกว่าเราจะติดใจในความเงียบสงบของสายน้ำเข้าอย่างจังเสียแล้วสิ เอาเป็นว่า ทริปต่อไป เราจะยังคงอยู่กับสายน้ำกันต่อ แต่จะเป็นที่ไหน อย่าลืมติดตามกันน๊าาาาาาา!!!
 
 
 
.....จบวิถีสโลว์ไลฟ์ไว้ที่นี่ แล้วไปต่อที่ การผจญภัยแบบแอดแวนเจอร์ กันดีกว่า ..... ดีม่ะ!!
 ดีเนอะ!! (ถามเองตอบเอง บ้าไปแล้ว) 5555+++
 
 
 
มาเจอกันทริปต่อไปโน๊ะ!!
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 

 
 

 
 
 





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตามหาลมหนาวจากเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน

ปางมะผ้า "ผ่านมาแล้ว..อย่าแค่ผ่านไป"

อยากพักปอด..มานอนสวนป่า